น้ำอัดลม
กับสุขภาพ
น้ำอัดลม
เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมประเภทหนึ่ง ส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม
แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นน้ำ แต่น้ำที่ว่านี้จะต้องเป็นน้ำที่สะอาด
อาจจะใช้น้ำประปา
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน
จากนั้นก็เติม ส่วนประกอบที่สำคัญตัวที่ 2 ลงไปคือสารให้รสหวาน
สารให้รสหวานที่ว่านี้ก็คือน้ำตาลทราย (ซูโครส) นั่นเอง
ในอดีตการผลิตน้ำอัดลมชนิดธรรมดา (คือไม่ใช่แบบจำกัดพลังงาน
ที่เรียกกันว่าแบบไอเอท-ไม่ใช้น้ำตาล) จะใช้น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว
นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง
ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่มมา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn
syrup) น้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุคโตสสูง (High fructose corn syrup- HFCS)
เป็นต้น
น้ำอัดลมยังมีส่วนประกอบที่สำคัญอีก ตัวที่ 3 คือ
สารปรุงแต่ที่เรียกกันว่าหัวน้ำเชื้อ
ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี กับกรดบางชนิดที่ใช้ในอาหาร เช่น
กรดมะนาว หัวน้ำเชื้อจะนำมาผสมในน้ำเชื่อม
จากนั้นก็ทำให้ของผสมทั้งหมดเย็นลงเพื่อการเติมส่วนประกอบที่ 4
ซึ่งเป็นตัวทำให้น้ำอัดลมจริงดังชื่อคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยจะนำมาอัดลงในน้ำหวานที่ผสมไว้
น้ำอัดลมบรรจุขวดหรือกระป๋องที่มีจำหน่ายกันทั่วไปนั้น แบ่งออกได้เป็น 2
ประเภทด้วยกัน ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่นรสและสีของผลิตภัณฑ์
- ประเภทที่ 1
น้ำอัดลมรสโคล่า หรือน้ำดำ
น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคาอยู่ด้วยปริมาณของคาเฟอีนในน้ำอัดลมชนิดโคล่าแต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่สูตรลับเฉพาะของแต่ละบริษัท
สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น
ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
- ประเภทที่ 2 น้ำอัดลมไม่ใช่โคล่า
ได้แก่น้ำอัดลมสีขาวใสที่ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์
น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว
ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง
และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่คือรูทเบียร์ เป็นต้น
น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน
เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า
อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม
เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน
ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเมื่อดื่ม
ตามแต่สูตรของผู้ผลิตซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำอัดลมอยู่ที่น้ำตาลซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้
แต่จุดอ่อนของน้ำ อัดลมอยู่ที่ผู้ดื่มได้พลังงานเพียงอย่างเดียว
โดยไม่มีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก
เรียกว่าพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty calories
ดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย
ก็อาจขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กยิ่งเด็กเล็กๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง
ถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลม
ไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้
บางครั้งก็ให้ดื่มในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก
ทำให้อิ่มและกินอาหารได้น้อยลง
ข้อเสียอีกประการหนึ่งเนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก
และมีสภาวะเป็นกรดด้วย อาจเป็นเหตุให้ฟันผุ
นอกจากนี้น้ำอัดลมยังอาจทำให้ท้องอืดเพราะเกิดก๊าซในกระเพราะอาหาร
และสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพราะอาหารด้วย
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมในอังกฤษได้ศึกษาวิจัยสารเคลือบฟันของเด็กวัยรุ่นอายุ
14 ปี พบว่ามีจำนวนถึง 92 เปอร์เซ็นต์ที่เกิดการสึกกร่อน
และเป็นเหตุให้ฟันไม่แข็งแรง อาจทำให้ฟันผอมบางลง หรือขอบฟันแตกกะเทาะได้
เนื่องจากการดื่มน้ำอัดลมที่มีฟองต่างๆ ทำให้ฟันเด็กสึกกร่อนไปตามๆ กัน
โดยเพียงแค่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละหน ก็อาจทำให้เด็กอายุ 12 ปี
มีโอกาสฟันสึกกร่อนได้ถึง 59 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปี
โอกาสเสี่ยงยิ่งสูงเป็น 220 เปอร์เซ็นต์ และหากเด็กอายุ 12 ปี ดื่มมากวันละ
4 แก้ว จะเสี่ยงสูงมากเป็น 252 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กอายุ 14
ปีก็ยิ่งเสี่ยงสูงเป็นถึง 513 เปอร์เซ็นต์
รายงานผลการศึกษาของวารสารทันตแพทย์สมาคมอังกฤษแจ้งว่า
ฟันสึกกร่อนต่างจากฟันผุเพราะฟันผุเกิดจากการกินน้ำตาลมาก
ส่วนฟันสึกกร่อนเพราะถูกสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดในเครื่องดื่มกัดกร่อนซึ่งแม้แต่เครื่องดื่มเพื่อลดความอ้วนก็ยังอันตราย
ดังนี้แล้วผู้ใหญ่เราคงต้องช่วยกันดูแลเด็กๆ สักนิดหนึ่ง ถ้าห้ามไม่ได้
ก็ขอให้กินน้อยที่สุดเพราะน้ำอัดลมมีทั้งน้ำตาลและกรด ถ้าดื่มมากๆ
ฟันก็จะทั้งผุทั้งกร่อน ถึงวันหนึ่งฟันหายไปจากปากเมื่อไร
ก็คงได้แต่มองตากันปริบๆ
สำหรับคนที่ต้องการดูแลน้ำหนักเพื่อให้สุขภาพดี
น้ำอัดลมมีน้ำตาลมากจนทำให้ไม่อาจลดความอ้วนได้ง่ายดาย มีน้ำตาลประมาณ 15%
นั่นคือถ้าดื่มน้ำอัดลมเพียง 1 กระป๋อง/วัน (325 มิลลิลิตร)
จะมีน้ำตาลประมาณ 38 กรัม หรือประมาณกว่า 7 ช้อนชา (1 ช้อนชา=5
มิลลิลิตร ไม่ใช่ช้อนกาแฟซึ่งประมาณ 2 มิลลิลิตร) ให้พลังงาน ประมาณ 150
แคลอรี่ เท่ากับพลังงานที่ใช้วิ่งรอบสนามฟุตบอลมาตรฐาน ราว 2 รอบ
แต่ถ้าคุณไม่ออกกำลังกายแบบกีฬาด้วยแล้ว (ต้องเป็นแบบกีฬา ที่ได้เหงื่อ
นานกว่า 30 นาที ร่างกายจึงจะสามารถดึงเอาไขมันมาใช้ได้)
คุณจะสะสมไขมันประมาณปีละมกว่า 12 กิโลกรัมทีเดียว
จะเห็นว่าแค่ลดน้ำอัดลม ก็ง่ายที่จะควบคุมน้ำหนักแล้ว
ยิ่งลดน้ำตาลจากแหล่งอื่น ยิ่งควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น อย่าลืมว่า
ของอร่อยในโลกนี้ มีมากมายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพให้เลือกได้
แต่ถ้าคุณชอบน้ำอัดลม ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนที่ต้องระวังและควบคุมให้น้อย
รับประทานอาหารให้หลากหลาย และออกกำลังกายแบบกีฬาบ่อยๆ
สุขภาพดีก็จะอยู่กับคุณ และอย่าลืมว่า
ดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆ นอกจากไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม และยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย