หัย์ห่น้ำ
สรรหามาเล่า โดยไตรรงค์ ปิมปา นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ สำนักบริหารจัดการน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ
 


น้ำอัดลม กับสุขภาพ

น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมประเภทหนึ่ง ส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นน้ำ แต่น้ำที่ว่านี้จะต้องเป็นน้ำที่สะอาด อาจจะใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน จากนั้นก็เติม ส่วนประกอบที่สำคัญตัวที่ 2 ลงไปคือสารให้รสหวาน สารให้รสหวานที่ว่านี้ก็คือน้ำตาลทราย (ซูโครส) นั่นเอง ในอดีตการผลิตน้ำอัดลมชนิดธรรมดา (คือไม่ใช่แบบจำกัดพลังงาน ที่เรียกกันว่าแบบไอเอท-ไม่ใช้น้ำตาล) จะใช้น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่มมา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn syrup) น้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุคโตสสูง (High fructose corn syrup- HFCS) เป็นต้น

น้ำอัดลมยังมีส่วนประกอบที่สำคัญอีก ตัวที่ 3 คือ สารปรุงแต่ที่เรียกกันว่าหัวน้ำเชื้อ ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี กับกรดบางชนิดที่ใช้ในอาหาร เช่น กรดมะนาว หัวน้ำเชื้อจะนำมาผสมในน้ำเชื่อม จากนั้นก็ทำให้ของผสมทั้งหมดเย็นลงเพื่อการเติมส่วนประกอบที่ 4 ซึ่งเป็นตัวทำให้น้ำอัดลมจริงดังชื่อคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะนำมาอัดลงในน้ำหวานที่ผสมไว้

น้ำอัดลมบรรจุขวดหรือกระป๋องที่มีจำหน่ายกันทั่วไปนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่นรสและสีของผลิตภัณฑ์

  • ประเภทที่ 1 น้ำอัดลมรสโคล่า หรือน้ำดำ น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคาอยู่ด้วยปริมาณของคาเฟอีนในน้ำอัดลมชนิดโคล่าแต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่สูตรลับเฉพาะของแต่ละบริษัท สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
  • ประเภทที่ 2 น้ำอัดลมไม่ใช่โคล่า ได้แก่น้ำอัดลมสีขาวใสที่ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์ น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่คือรูทเบียร์ เป็นต้น น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเมื่อดื่ม ตามแต่สูตรของผู้ผลิตซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศด้วย

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำอัดลมอยู่ที่น้ำตาลซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่จุดอ่อนของน้ำ อัดลมอยู่ที่ผู้ดื่มได้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่าพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty calories ดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย ก็อาจขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กยิ่งเด็กเล็กๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง ถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลม ไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้ บางครั้งก็ให้ดื่มในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและกินอาหารได้น้อยลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งเนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก และมีสภาวะเป็นกรดด้วย อาจเป็นเหตุให้ฟันผุ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังอาจทำให้ท้องอืดเพราะเกิดก๊าซในกระเพราะอาหาร และสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพราะอาหารด้วย

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมในอังกฤษได้ศึกษาวิจัยสารเคลือบฟันของเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปี พบว่ามีจำนวนถึง 92 เปอร์เซ็นต์ที่เกิดการสึกกร่อน และเป็นเหตุให้ฟันไม่แข็งแรง อาจทำให้ฟันผอมบางลง หรือขอบฟันแตกกะเทาะได้ เนื่องจากการดื่มน้ำอัดลมที่มีฟองต่างๆ ทำให้ฟันเด็กสึกกร่อนไปตามๆ กัน

โดยเพียงแค่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละหน ก็อาจทำให้เด็กอายุ 12 ปี มีโอกาสฟันสึกกร่อนได้ถึง 59 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปี โอกาสเสี่ยงยิ่งสูงเป็น 220 เปอร์เซ็นต์ และหากเด็กอายุ 12 ปี ดื่มมากวันละ 4 แก้ว จะเสี่ยงสูงมากเป็น 252 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กอายุ 14 ปีก็ยิ่งเสี่ยงสูงเป็นถึง 513 เปอร์เซ็นต์

รายงานผลการศึกษาของวารสารทันตแพทย์สมาคมอังกฤษแจ้งว่า ฟันสึกกร่อนต่างจากฟันผุเพราะฟันผุเกิดจากการกินน้ำตาลมาก ส่วนฟันสึกกร่อนเพราะถูกสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดในเครื่องดื่มกัดกร่อนซึ่งแม้แต่เครื่องดื่มเพื่อลดความอ้วนก็ยังอันตราย

ดังนี้แล้วผู้ใหญ่เราคงต้องช่วยกันดูแลเด็กๆ สักนิดหนึ่ง ถ้าห้ามไม่ได้ ก็ขอให้กินน้อยที่สุดเพราะน้ำอัดลมมีทั้งน้ำตาลและกรด ถ้าดื่มมากๆ ฟันก็จะทั้งผุทั้งกร่อน ถึงวันหนึ่งฟันหายไปจากปากเมื่อไร ก็คงได้แต่มองตากันปริบๆ

สำหรับคนที่ต้องการดูแลน้ำหนักเพื่อให้สุขภาพดี น้ำอัดลมมีน้ำตาลมากจนทำให้ไม่อาจลดความอ้วนได้ง่ายดาย มีน้ำตาลประมาณ 15% นั่นคือถ้าดื่มน้ำอัดลมเพียง 1 กระป๋อง/วัน (325 มิลลิลิตร) จะมีน้ำตาลประมาณ 38 กรัม หรือประมาณกว่า 7 ช้อนชา (1 ช้อนชา=5 มิลลิลิตร ไม่ใช่ช้อนกาแฟซึ่งประมาณ 2 มิลลิลิตร) ให้พลังงาน ประมาณ 150 แคลอรี่ เท่ากับพลังงานที่ใช้วิ่งรอบสนามฟุตบอลมาตรฐาน ราว 2 รอบ แต่ถ้าคุณไม่ออกกำลังกายแบบกีฬาด้วยแล้ว (ต้องเป็นแบบกีฬา ที่ได้เหงื่อ นานกว่า 30 นาที ร่างกายจึงจะสามารถดึงเอาไขมันมาใช้ได้) คุณจะสะสมไขมันประมาณปีละมกว่า 12 กิโลกรัมทีเดียว

จะเห็นว่าแค่ลดน้ำอัดลม ก็ง่ายที่จะควบคุมน้ำหนักแล้ว ยิ่งลดน้ำตาลจากแหล่งอื่น ยิ่งควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น อย่าลืมว่า ของอร่อยในโลกนี้ มีมากมายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพให้เลือกได้ แต่ถ้าคุณชอบน้ำอัดลม ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนที่ต้องระวังและควบคุมให้น้อย รับประทานอาหารให้หลากหลาย และออกกำลังกายแบบกีฬาบ่อยๆ สุขภาพดีก็จะอยู่กับคุณ และอย่าลืมว่า ดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆ นอกจากไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม และยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย

 

 [ประปาไทยดอทคอม] [การเพิ่มประสิ่ทธิภาพการช้น้ำ] [มหัศจรรย์แห่งน้ำ]